วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

Music Therapy


ความหมายของดนตรีเพื่อสุขภาพและบำบัด (Music Therapy)

ดนตรีเพื่อสุขภาพและบำบัด หมายถึง การนำดนตรีและกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับดนตรีมาใช้ในการบำบัดรักษาผู้ป่วย ทั้งทางกาย และทางจิต เป็นวิธีการประยุกต์ดนตรีไปใช้ในการบำบัดและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วยให้อยู่ในสภาวะปกติ ดนตรีบำบัดเป็นศาสตร์การแพทย์ทางเลือกอีกวิธีหนึ่งที่ปัจจุบันมีผู้หันมาให้ความสนใจกันมาก ซึ่งความจริงการนำดนตรีมาใช้ในการบำบัดรักษา เป็นวิธีที่มนุษย์ใช้มานานแล้ว ซึ่งอยู่ในรูปแบบของพิธีกรรม และความเชื่อ(นันธิดา จันทรางศุ)

ดนตรีมีผลต่อสุขภาพอย่างไร?

คนเราเมื่อได้ยินเสียงดนตรี สมองซีกซ้ายจะทำหน้าที่รับรู้ถึงจังหวะง่ายๆไม่ซับซ้อน ในขณะที่สมองซีกขวาจะรับรู้ถึงท่วงทำนอง ระดับเสียงสูงต่ำ หรือจังหวะที่ซับซ้อนมากขึ้นแล้วเก็บไว้เป็นความทรงจำเพื่อเรียนรู้และฝึกฝนได้ในคราวต่อไป ดนตรีจะส่งผลต่อร่างกายและจิตใจดังนี้การเต้นของชีพจร ความดันและการไหลเวียนโลหิต การตอบสนองของม่านตา ความตึงตัวของกล้ามเนื้อ ลดความเจ็บปวด

ผลต่อจิตใจและอารมณ์ :

ทำให้เกิดอารมณ์และจินตนาการร่วมกับเสียงดนตรี เช่น ผ่อนคลาย สดชื่น สนุกสนาน เพราะดนตรีช่วยกระตุ้นการหลั่งสารแห่งความสุข (Endorphin) จากสมองได้ นอกจากนี้เสียงดนตรียังช่วยพัฒนาการสื่อภาษาและทักษะในการเรียนรู้ที่ดีขึ้น ตลอดจนทำให้เกิดสมาธิ และการมองโลกในเชิงบวกอีกด้วย โดยดนตรีแต่ละประเภทก็จะมีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไปตามองค์ประกอบของดนตรีขึ้นกับ



น่าสนใจครับจากข้อความที่ว่า "การนำดนตรีมาใช้ในการบำบัดรักษา เป็นวิธีที่มนุษย์ใช้มานานแล้ว ซึ่งอยู่ในรูปแบบของพิธีกรรม และความเชื่อ"

แสดงให้เห็นว่า
ดนตรีบำบัดในทางการแพทย์มีความสัมพันธ์กับศาสตร์ทางด้านมานุษยดุริยางควิทยาและจิตวิทยา



ครั้งนี้นำความหมายของดนตรีบำบัดมาอธิบายก่อน โอกาสหน้าจะเจาะลึกแตกประเด็นออกไปอีกครับ

อ้างอิง
บทความจาก:

http://dekdontrithai.spaces.live.com
http://bord.palungjit.com

รูปภาพจาก
http://bord.palungjit.com

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2552

โหมโรงเทิด ส.ธ.

โหมโรงเทิด ส.ธ.


นายมนตรี ตราโมท



ในศุภดิถีมหามงคลสมัย ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระชนมายุครบ ๓ รอบบริบูรณ์ ณ วันที่ ๒ เมษายน ๒๕๔๓ กรมศิลปากรกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด ได้มอบให้ข้าพเจ้าแต่งเพลงโหมโรง ชื่อเพลง เทิด ส.ธ. เพื่อทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายในพระราชวโรกาสนี้

ข้าพเจ้าก็คิดว่าจะนำเพลงอัตรา ๒ ชั้นของเก่ามาแต่งขยายขึ้น ตามแบบที่โบราณจารย์ท่านได้กระทำมา แต่ในวโรกาสอันสำคัญและชื่อเพลงบ่งถึงการเทิดพระนามาภิไธยเช่นนี้ เพลง ๒ ชั้นที่จะนำมาแต่งขยาย ควรจะเป็นเพลงที่มีคุณสมบัติและศักดิ์ศรีที่เหมาะสม จึงได้นึกถึงเพลงเก่าคู่หนึ่ง ชื่อเพลงเชิญเหนือและเชิญใต้ เพลงคู่นี้ ภายหลังครูผู้ทรงคุณวุฒิในสมัยโบราณได้นำมาปรับเข้ากับหน้าทับตะโพนกลองแบบเพลงตระ เรียกว่าเพลงตระเชิญ บรรเลงต่อกันทั้ง ๒ เพลง อันการบรรเลงเพลงตระที่ใช้เป็นหน้าพาทย์ เช่น เพลงตระนิมิต ตระนอน ตระสันนิบาต ฯลฯ จะต้องบรรเลงซ้ำ ๒ เที่ยว แต่การบรรเลงเพลงตระเชิญ บรรเลงเที่ยวเดียว ไม่ต้องบรรเลงซ้ำ ๒ เที่ยว เพราะว่าเพลงตระเชิญบรรเลงตามเพลงเชิญเหนือถือเป็นเที่ยวหนึ่ง และบรรเลงตามเพลงเชิญใต้ ซึ่งถือเป็นการบรรเลงซ้ำอีกเที่ยวหนึ่ง จึงไม่ต้องบรรเลงซ้ำ หรือกลับต้นอีกครั้ง เหมือนเพลงตระอื่น ๆ

ข้าพเจ้าได้นำเพลงเชิญเหนือกับเชิญได้ หรือเพลงตระเชิญนี้มาแต่งขยายขึ้นเป็นอัตรา ๓ ชั้น และนำเพลงสังข์น้อยจากเพลงเรื่องทำขวัญหรือเวียนเทียนมาขยายขึ้นเป็นเพลงต่อท้ายตามแบบแผนโหมโรงเสภาโบราณ ซึ่งเพลงตระเชิญและเพลงสังข์น้อยเป็นเพลงอันสูงศักดิ์ เป็นเพลงสิริมงคลทั้งคู่ เหมาะกับกรณีนี้เป็นอย่างยิ่ง

การแต่งเพลงนี้ ข้าพเจ้าพยายามที่จะให้มีทางต่าง ๆ ทั้งทางพื้น ทางกรอ และลูกขัดระคนกัน โดยเริ่มต้นแต่งที่บ้านพักบริเวณพระราชวังไกลกังวล หัวหิน ไปสำเร็จลงที่พุเตย จังหวัดกาญจนบุรี กลับมาตรวจทานที่บ้านจังหวัดนนทบุรีอีกครั้ง
หมายเหตุ: คัดลองจากโน้ตเพลงไทยเล่ม ๒ พร้อมด้วยคำอธิบาย


วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2552

นกเขาขะแมร์ ตั้งแต่เริ่มจีบ จนนัวเนีย

เพลง นกเขาขะแมร์ เถา

คำบรรยายประกอบเพลง

เพลงนกเขาขะแมร์เป็นเพลงเถา ในท่วงทำนองมีการเลียนเสียงการขันของนกโดยเฉพาะท่อนที่ 2 สามชั้น
เพลงนกเขาขะแมร์ อัตรา สองชั้นของเก่า ประเภทน้าทับสองไม้ มีสองท่อน ท่อนละแปดจังหวะ เป็นเพลงเขมรแท้ ๆ ในท่วงทำนองมีการเลียนเสียงการขันของนกโดยเฉพาะที่ท่อนสอง 3 ชั้น ได้เพลงมาเมื่อครั้งการเดินทางตามเสด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ไปเวียดนามและกัมพูชาเมื่อพุทธศักราช 2473 ต่อมาเมื่อ พุทธศักราช 2476 หลวงประดิษฐไพเราะขณะเป็นหัวหน้าแผนกดุริยางค์ไทยของกรมศิลปากร ได้นำเพลงนี้มาปรับปรุงทางใหม่ให้ครบเป็นเพลงเถา ต่อให้นางเจริญใจ สุนทรวาทิน ร้องส่ง กระจายเสียงเป็นครั้งแรกที่สถานีวิทยุวังพญาไท

จินตนาการที่เกิดจากการฟังเพลง

ลักษณะการตวัดเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของสำเนียงลาวมาใส่ในสำเนียงเขมรที่มีการวนย้ำและละมุนละไม

----/----/-ดรม/-ซ-ล/-ดํ--/-ดํ-ซ/ลซมซ/ลดํ-ล/

ช่วงของสามชั้นเป็นการเริ่มเปิดตัวของนกทั้งสองตัว นกทั้งสองตัวเริ่มทำความรู้จักกันโดยที่ตัวผู้กำลังจีบตัวเมียอย่างที่ตัวเมียยังไม่รู้ตัว ลักษณะทำนองฟังสบาย ๆ(เนิบ ๆ) และผมสมไปด้วยความหวาน
บอกถึงลักษณะการหยอกล้อกันของนกสองตัว ระหว่างตัวผู้กับตัวเมีย โดยใช้ความแตกต่างของช่วงเสียงและสีสันของเครื่องดนตรีแทนตัวผู้และตัวเมีย ยังใช้กระสวน(rhythm) เดียวกันแสดงถึงการล้อเลียนหยอกล้อ

----/--ดํล/--ดํล/--ดํล/--ดํล/ซลดํม/--รม/ซลซล/
----/--รํดํ/--รํดํ/--รํดํ/--ลซ/มซลดํ/-มซล/ดํลซม/

ลักษณะสำนวนการม้วนพันของทำนองที่มักจะพบในส่วนท้ายของวรรครับในช่วงสามชั้นและสองชั้น แสดงถึงการเง้างอนของหนุ่มสาวที่จีบกัน ในเพลงหมายถึงนกสองตัวกำลังเกี้ยวพาราสีกัน โดยที่ตัวเมียมีลักษณะท่าทีตามจริตของเพศเมีย(เพศหญิง)(เรียกร้องความสนใจ) ทำงอนใส่ตัวผู้เพื่อต้องการตามให้มาง้อ

-ร-ม/-ซ-ล/ทลรํท/-ล-ซ/

ในส่วนของชั้นเดียวจะเป็นลักษณะของการเหลื่อมอันเนื่องมาจากกระบวนการประพันธ์ซึ่งมีช่วงทำนองให้ตกแต่งได้น้อย เป็นการตามติดตัวเมียของตัวผู้(ไปไหนไปด้วย) แต่ตัวเมียยังมีท่าที

----/--ดํล/--ดํล/--ดํม/--ซม/รมซด/-มซล/ดํลซม/

ลูกหมด ความเร็ว(tempo)เพิ่มขึ้นมาจากชั้นเดียว เป็นการต่อเนื่องจากอารมณ์ในส่วนของชั้นเดียว การเหลื่อมเพียงสามตัวโน้ตเปรียบการบินพันกันของนก เป็นการกอดรัดกันนัวเนีย แสดงการตกลงใจของตัวเมีย
----/รมซล/ดํรํดํล/-ซ-ม/-มซล/ดํซ-ล/ซลดํรํ/มํดํ-รํ/
--มํรํ/ดํลดํซ/--ดํล/ซมซร/-รมซ/-มซล/-ซลดํ/-ลดํรํ/
โหลดเพลงนกเขาขะแมร์ เถา มโหรี, ขลุ่ย+ออร์เคสตรา

วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2552

ปราชญ์ควรคู่กับกู่ฉิน


ปราชญ์ควรคู่กับกู่ฉิน

ที่มา : http://board.palungjit.com


“...วิชาดนตรีนั้นเป็นวิชาของปราชญ์ ไม่ใช่เรื่องของคนเต้นกินรำกินอย่างที่เคยเข้าใจกัน...” นี่เป็นบทความตอนหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง Season chang ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับดนตรีสากล
ไม่ว่าประเทศใด ๆ ปราชญ์ทั้งหลายก็ได้ให้ความสำคัญกับดนตรีทั้งทางประเทศตะวันตกและทางประเทศตะวันออก อย่างเช่น ไพธากอรัส นักปรัชญาและนัdคณิตศาสตร์ชาวกรีก ผู้วางรากฐานทฤษฎีดนตรีตะวันตก อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักฟิสิกส์ผู้คิดค้นพลังงานนิวเคลียร์ และนักsolo violin ขงเบ้ง ยอดกุนซือของเล่าปี่ และพระบาทสมเด็จพระเลิศหล้านภาลัย ผู้ทรงพระราชนิพนธ์เพลงบุหลันลอยเลื่อนจากความฝัน เป็นต้น

กู่ฉินคือพิณจีนเจ็ดสาย ซึ่งสืบทอดประวัติอันยาวนานของมันมาตั้งแต่สมัยจีนดึกดำบรรพ์และปัจจุบันถูกกล่าวถึงในฐานะราชาแห่งเครื่องดนตรีจีนนสมัยชุนชิวเลียดก๊ก กู่ฉินเป็นเครื่องดนตรีชั้นสูงที่นิยมเล่นกันในหมู่นักปราชญ์ราชบัณฑิต ถึงกับมีคำกล่าวไว้ว่า “ขวามือตำรา ซ้ายมือกู่ฉิน” เพราะศิลปะในการดีดกู่ฉินนั้นมีความลุ่มลึกละเอียดอ่อน ยากแก่การฝึกฝน โดยเฉพาะการดีดให้เกิดสุนทรียะ

คุณสมบัติของเสียงกู่ฉินคือ
สูงต่ำผันแปรไม่สิ้นสุด ขึ้นสูงแล้วมุดลงต่ำ
ย้อนซ้ำกลับไปสูง พลิ้วไหวและสั่นคลอน
เสียดสีแข็งกระด้าง แผ่วเบาอ่อนโยน
หยาบคายก็ได้สุภาพก็ได้

นับเป็นเครื่องดนตรีที่มหัศจรรย์ยิ่งและเป็นภูมิปัญญาของคนโบราณ

ตั้งแต่โบราณกาลมากู่ฉินเป็นถือเป็นเครื่องมือพัฒนาจิตใจของนักปราชญ์ โดยเฉพาะในยุคของขงจื้อขึ้นไป ขงจื้อก็สอนกู่ฉินแก่ลูกศิษย์เช่นกัน เสียงกู่ฉินทำให้จิตใจบริสุทธิ์ และเบาบาง กู่ฉินเป็นเครื่องดนตรีที่แฝงไปด้วยปรัชญาแทบทั้งสิ้น จะเห็นได้จากส่วนประกอบของตัวเครื่องดนตรีก็มีความหมาย คนโบราณคิดค้นกู่ฉินโดยการนำลักษณะของมนุษย์กับหงส์มาผสมกัน คือมี หัว ตา คอ ไหล่ เอว หาง และเท้า นอกจากนี้ยังได้นำ ฟ้า ดิน และสรรพสิ่งมาประสานลงบนกู่ฉิน วิธีทำกู่ฉินเป็นการนำไม้ 2 ชิ้นมาประกอบกัน ไม้ชิ้นบนจะมีลักษณะโค้งเป็นสัญลักษณ์ของ “ฟ้า หรือหยาง” ไม้ชิ้นล่างมีลักษณะเรียบแบนเป็นสัญลักษณ์ของ “แผ่นดินหรือ หยิน” ไม้ชิ้นล่างจะมีช่องเสียง 2 ช่อง ช่องใหญ่เรียกว่า “สระมังกร” ช่องเล็กเรียกว่า “สระหงส์” กู่ฉินหัวจะกว้างหางจะแคบ แบ่งออกเป็น 4 ส่วน เปรียบดัง “ฤดูกาลทั้งสี่ของปี” กู่ฉินมี 13 ฮุย (ตำแหน่งสำหรับกดสาย) เปรียบดัง “เดือนทั้ง 12 กับเดือนอธิกสุรทิน” ความยาวของกู่ฉินคือ 3 ฉือ 6 ชุ่น 5 เฟิน (ประมาณ 125 ซ.ม.) เปรียบดัง “365 วันในรอบปี” กว้าง 6 ชุ่น (ประมาณ 20 ซ.ม.) เปรียบดัง “ทิศ ทั้งหก” หนา 2 ชุ่น (ประมาณ 6 ซ.ม.) เปรียบดัง “หยินและหยาง”
กู่ฉินเป็นเครื่องดนตรีที่ขึงสายดีดเช่นเดียวกับกู่เจิง แต่ต่างกันตรงที่กู่ฉินเป็นเครื่องดนตรีขนาดเล็กมีเพียง 5 สาย หรือ 7 สาย และไม่มีหย่อง (Fret) หนุนรองรับสายไว้ทุกสายเหมือนกู่เจิง

สายกู่ฉินมีชื่อเรียกเฉพาะต่างกันไปตั้งแต่สายบนสุดมายังสายล่างสุด
1. สายหนึ่ง เรียกว่า เทียนจวิน หรือ เทียน คือสายจักรพรรดิ สายนี้แทนฟ้า เสียงให้ ทุ้มต่ำ ดีดเพียงครั้งเดียวก็จะสั่นสะเทือนทั้งตัวฉิน
2. สายสอง เรียกว่า ตี้เฉิน หรือ ตี้ คือ ขุนนาง สายนี้แทนดิน มีสำเนียงทุ้มลึก หนักแน่นมั่นคง เดชของเสียงเป็นรองเพียงแค่สายฟ้า
3. สายสาม เรียกว่า เหริน คือ สายมนุษย์ เดิมทีสายนี้เป็นสายกลาง มีเสียงที่พอดี ๆ มีเนื้อมีหนัง
4. สายสี่ เรียกว่า ซื่อร์ คือ สายกิจการเอาเรื่องราวทั้งปวง มีเสียงสูงพอเหมาะ
5. สายห้า เรียกว่า อู้ คือ สายสรรพสิ่ง เดิมทีเป็นสายสุดท้าย มีสำเนียงสูงโดด
6. สายหก เรียกว่า เหวิน คือ สายภูมิปัญญา กล่าวกันได้เพิ่มขึ้นโดยกษัตริย์พระองค์หนึ่งเติมสายนี้ขึ้นมาในการเล่นไว้อาลัยให้กับโอรสของพระองค์ จึงมีสำเนียงที่วิเวกวังเวง และเศร้าสร้อย
7. สายเจ็ด เรียกว่า อู่ คือ สายฤทธิ์เดช ได้เพิ่มขึ้นหลังจากสายหกไม่นาน สำเนียงสูงมากจนเสียดแทง แต่แฝงไปด้วยความงดงามกังวาน แสดงถึงการศึก หลังจากสมัยของขงจื้อแล้ว กู่ฉินก็ได้เปลี่ยนแปลงจากเครื่องมือพัฒนาจิตใจกลายเป็นเครื่องดนตรีในยุคต่อมา หลังจากนั้นดนตรีก็ได้มีการกำหมดแบบแผนอย่างเด่นชัดในสมัยราชวงศ์ซ่ง ทำให้กู่ฉินก็ถูกตั้งมาตรฐานไปด้วย และได้เกิดการบันทึกโน้ตอย่างจริงจัง แต่อย่างไรก็ตาม กู่ฉินก็ยังคงไม่มีมาตรฐานใดมากำหนดได้ ปัจจุบันกู่ฉิน ก็ได้เข้าไปสู้ระบบวิทยาลัยทำให้เจตนารมณ์ดั้งเดิมของคนโบราณเปลี่ยนไป เพราะใช้หลักทฤษฎีดนตรีสากลมาเป็นมาตรฐาน และก็กลายเป็นแค่เครื่องดนตรีธรรมดาๆไปก็เท่านั้น

กู่ฉินนับได้ว่าเป็นเครื่องดนตรีอีกเครื่องหนึ่งที่ทรงไปด้วยคุณค่า และความหมายแฝงมากมาย เต็มไปด้วยปรัชญาความรู้ การเข้าถึงทางสุนทรีย์ก็ยากยิ่งต้องเป็นผู้มีความรู้เท่านั้นถึงจะรับความสุนทรีย์ จึงเหมาะสำหรับเป็นเครื่องดนตรีสำหรับนักปราชญ์โดยแท้


อ้างอิง

ณรุทธ์ สุทธจิตต์. สังคีตนิยม ความซาบซึ้งในดนตรีตะวันตก. กรุงเทพฯ. ด่านสุทธาการพิมพ์ จำกัด,
2546
สุกรี เจริญสุข. ดนตรีเพื่อพัฒนาศักยภาพสมอง. นครปฐม. วิทยาลัยดุริยางค์ดุริยางคศิลป์
มหาวิทยาลัยมหิดล, 2550
http://www.thaikids.com/kujeng/kujeng.htm
http://www.jin4u.com/index.php?option=com_content&task=view&id=91&Itemid=45
http://okls.net/column002.html
http://board.palungjit.com/showthread.php?t=139408
http://www.thaisamkok.com/
http://www.palungjit_com.htm/

สุนทรียะ - การเข้าถึงบทเพลง ตามแนวคิดของจอห์น ดิวอี้

สุนทรียะ

ปัจจัยที่ทำให้รับรู้ถึงความสุนทรีย์ของจอห์น ดิวอี้ ประกอบไปด้วย ประสบการณ์ ภูมิรู้ และสิ่งแวดล้อม
ผู้เขียนได้แบ่งปัจจัยที่ทำให้รับรู้ถึงความสุนทรีย์ โดยได้แบ่งจากที่มาของปัจจัยออกเป็น 2 หัวข้อใหญ่ ๆ คือ จากงานของศาสตร์นั้น ๆ และจากการดำเนินชีวิต

จากงานของศาสตร์นั้น ๆ

1. ประสบการณ์ ในการสัมผัสกับงานที่แสดงถึงความสุนทรีย์
ประสบการณ์ที่ได้จากการฟังดนตรี สามารถแยกได้เป็น 2 กระบวนการ คือ กระบวนการเชิงปริมาณ และการบวนการเชิงคุณภาพ

1.1 กระบวนการเชิงปริมาณ
เป็นสิ่งที่ได้จากการฟังเพลงในเชิงปริมาณ ได้แก่ การฟังเพลงเพื่อสังเกตลักษณะต่าง ๆ ของเพลง เช่น ต้องการรู้เรื่องรูปแบบของเพลง การประสานเสียง การใช้ความดังค่อย การใช้สีสันของเครื่องดนตรี เป็นต้น การฟังเพลงในลักษณะนี้ผู้ฟังมิได้ใช้ความรู้สึกเป็นพื้นฐาน เป็นการฟังที่ต้องการเอาข้อมูลจากบทเพลงเพื่อศึกษาหรือประเมินบทเพลงนั้น ๆ และสามารถอธิบายได้อย่างเป็นรูปธรรม การฟังในลักษณะนี้ผู้เขียนเรียกว่า “การฟังในเชิงประจักษ์”

1.2 กระบวนการเชิงคุณภาพ
ประสบการณ์ที่ได้จากการฟังเชิงคุณภาพ ได้แก่ การที่ผู้ฟังมีความตั้งใจที่จะฟังเพลงนั้น ด้วยความรู้สึก การฟังลักษณะนี้เป็นการฟังที่ผู้นั้นรับดนตรีเข้าไปในความรู้สึกแล้วตอบสนองตามเสียงดนตรีทีได้ยินในขณะนั้น ซึ่งผู้ฟังจะรับรู้ได้ถึงความงดงามของดนตรี ทำให้เกิดความรู้สึกถึงสุนทรียรสในดนตรีขึ้น ประสบการณ์รับรู้เช่นนี้เรียกว่า สุนทรียประสบการณ์ การฟังในลักษณะนี้ผู้เขียนเรียกว่า “การฟังในเชิงสุนทรีย์”

2. ภูมิรู้ (ความรู้) ในศาสตร์ที่แสดงความสุนทรีย์ออกมา เช่น ซาบซึ้งในดนตรีต้องมีความรู้ด้านดนตรี ซาบซึ้งในงานศิลปะต้องมีความรู้ด้านงานศิลปะ เป็นต้น
การที่ผู้ฟังมีอารมณ์ไปตามบทเพลงนั้นอาจจะมีการรับรู้และความเข้าใจที่ยังไม่ถึงสุนทรียรสของดนตรีก็ได้ เพราะยังขาดพื้นฐานความเข้าใจในโครงสร้างของรูปแบบ และเนื้อหาของดนตรี ซึ่งต่างจากความซาบซึ้งที่เกิดขึ้นได้โดยผู้นั้นสามารถสัมผัสกับสุนทรียรสของดนตรีได้แล้ว
การมีความรู้ทางด้านดนตรีอย่างถูกต้องจะทำให้เราเข้าใจในลักษณะเฉพาะของดนตรี รู้ในหน้าที่ ท่วงทำของ เอกลักษณ์ในส่วนต่าง ๆ ของดนตรีว่า ส่วนไหนบ่งบอกถึงอะไร จึงทำให้เข้าถึงสุนทรียรสของดนตรีได้มากว่าผู้ที่ไม่มีความรู้ทางด้านดนตรี
การฟังเพลงในเชิงปริมาณ จะได้ความรู้ในระดับหนึ่ง แต่จะไม่ได้ถึงแก่นแท้กับผู้ที่ศึกษาดนตรีอย่างจริงจัง

จากการดำเนินชีวิต

3. สิ่งแวดล้อม การที่เราจะรับรู้ในงานนั้นได้ เราจะต้องถูกปลูกฝัง เติบโตมากับสิ่งนั้น เกิดความผูกพัน และประสบการณ์จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แล้วมีความเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่แสดงถึงความสุนทรีย์ จนทำให้เกิดจินตนาการดื่มด่ำกับรสของงานได้ดั่งสัมผัสกับของจริง เช่นการจิตนาการถึงลำธารเมื่อได้ฟังการบรรเลงในลักษณะเสียงน้ำไหล การจินตนาการถึงเสียงสัตว์ป่าที่กรูกันวิ่งเมื่อเครื่องดนตรีเล่นอย่างอึกทึกคึกโครม ฟังดนตรีแล้วเศร้าเพราะนึกเหตุการณ์ที่น่าเศร้าในอดีตแต่ก็ยังอยากฟัง ก็ยังเป็นความสุนทรีย์ เรียกว่า บันเทิงในความเศร้า
เพลงที่มีเนื้อร้องจะบรรยายถึงสิ่งต่าง ๆ ไปตามเพลงจะทำให้สามารถผู้ฟังรับรู้ในสิ่งต่าง ๆได้อย่างง่าย แต่หากไม่ใช่เพลงที่มีเนื้อร้องแล้ว สิ่งที่จะช่วยให้นึกถึงภาพต่าง ๆ ประกอบกับดนตรีก็คือ ชื่อเพลง หรือคำอธิบายของผู้ประพันธ์

สรุป

ประสบการณ์ ภูมิรู้ และสิ่งแวดล้อม จะทำให้เกิดความเข้าใจในศาสตร์ที่แสดงความสุนทรีย์ สิ่งที่ตามมาก็คือ การรับรู้ถึงความสุนทรีย์


ตัวอย่างการรับรู้ทางสุนทรีย์ของผู้เขียน

เงื่อนไขตามปัจจัย


1. ประสบการณ์


1.1 กระบวนการเชิงปริมาณ ชอบฟังดนตรีคลาสสิก ฟังเพลงก่อนนอนเป็นประจำ ฟังแล้ว
มักจะชอบแยกเสียงดนตรีต่าง ๆ แล้วจับประเด็นแต่ละเสียง


1.2 กระบวนการเชิงคุณภาพ N/A (อยู่ในช่วงเวลาที่ฟังเพลง)

2. ภูมิรู้ (ความรู้) เรียนวิชาที่เกี่ยวกับดนตรีสากล 5 วิชา

วิชาประวัติและทฤษฎีดนตรีสากล
วิชาความซาบซึ้งในดนตรี
วิชาดนตรีสากลวิจักข์
วิชาทฤษฎีดนตรีสากล
วิชาคีย์บอร์ดพื้นฐาน
เคยเป็นสมาชิกวงโยธวาทิต

3. สิ่งแวดล้อม อาศัยอยู่ที่อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ บ้านห่างจากส่วนราชการ (ตลาด) หนึ่ง กิโลเมตร มีแม่น้ำป่าสักไหลผ่านตัวอำเภอ ถัดจากบ้านไปอีกข้าง หนึ่งกิโลเมตร มีชลประทานคู่ขนานกับไม่น้ำป่าสัก เกษตรกรได้อาศัยแหล่งน้ำจากชลประทานทำการเกษตร จังหวัดเพชรบูรณ์รายล้อมไปด้วยเทือกเขาซึ่งเปรียบเสมือนกำแพงที่กั้นเขตแดนของจังหวัด

เพลง The Moldau (แม่น้ำโมลดาว) By Smetana


คำบรรยายประกอบเพลง


ลำธารน้อยสองสายไหลผ่านแนวผืนป่าในดินแดนโบโฮเมีย สายหนึ่งมีน้ำที่อบอุ่นไหลเชี่ยว อีกสายหนึ่งมีน้ำเย็นและไหลเอื่อย ๆ ลำธารทั้งสองสายไหลมาบรรจบกัน ท่ามกลางแสงตะวันอันเจิดจ้าของยามเช้า ในที่สุดท้ายนี้น้ำได้กลายมาเป็นแม่น้ำโมดาว ความแรงของกระแสน้ำเพิ่มขึ้นเมื่อไหลผ่านช่องเขาดินแดนโบฮิเมีย กลายเป็นแม่น้ำที่เต็มไปด้วยกระแสแห่งพลัง เมื่อแม่น้ำไหลผ่านป่ารกชัฏ เสียงเป่าแตรจากการล่าสัตว์ได้ยินใกล้เข้ามาทุกขณะ โมลดาวไหลผ่านทุ้งหญ้าสีเขียวมรกตอันงดงาม มุ่งสู่ที่ราบสูงอันอบอุ่น ณ ที่นี้เสียงแห่งความสนุกสนานของเหล่าชาวบ้านในการเฉลิมฉลองงานวิวาห์ ทั้งเสียงร้องเพลง และการเต้นรำดังอยู่ได้มิขาด
ในค่ำคืนนั้นเองแสงระยิบระยับจากผิวน้ำ ดูลึกลับ แต่ไม่ช้าเหล่าภูตน้ำออกมาสนุกสนานกัน สานน้ำไหลผ่านผืนป่าเต็มไปด้วยเสน่ห์ สะท้อนถึงภาพเหล่าปราสาทและป้อมปราการ อันเป็นโบราณสถานที่เหลือให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองในยุคอัศวิน ซึ่งสิ้นสุดลงแล้วโดยสิ้นเชิง ณ แก่ง St. John โมลดาวเพิ่มความรุนแรงและเร็วขึ้นเป็นลำดับ กระแทกโขดหินปรากฏเป็นฟองคลื่น และในที่สุดก็ไหลมายังบริเวณอันกว้างใหญ่ ทำให้กระแสน้ำไหลอย่างสงบผ่านกรุงปราก โดยมีปราสาท Vysehrad ตั้งตระหง่านราวกับผู้กล่าวต้อนรับเชื้อเชิญโมลดาว แม่น้ำโมลดาวไหลผ่านกรุงปรากและลับตาไปในที่สุด มุ่งสู่แม่น้ำเอลเบ (ณรุทธ์ สุทธจิตต์, 2546: ?)

จินตนาการที่เกิดจากความสุนทรีย์ในการฟังเพลง


นาทีที่ 00.00 ลำธารเล็ก ๆ น้ำไหลรินเอื่อย ๆ
นาทีที่ 01.06 ลำธารสองสายไหลมาบรรจบกันกลายเป็นแม่น้ำโมลดาว
นาทีที่ 03.03 การเป่าแตรล่าสัตว์ของนายพราน
นาทีที่ 04.05 งานรื่นเริงแบบชาวบ้าน (สไตล์บ้านนอก)
นาทีที่ 05.30 ค่ำคืนที่เงียบสงบ มีภูตน้ำออกมาเล่นน้ำกัน (คล้าย ๆ กินรี) เสียง Harp แทนอาการกวักน้ำเล่นของภูตน้ำ
นาทีที่ 08.07 กลับมาสู่แม่น้ำโมลดาว ๆ ค่อย ๆ ไหลแรงขึ้น
นาทีที่ 09.13 จนมาถึงแก่ง ๆ หนึ่ง กระเสน้ำเชี่ยวกราก มีความรุนแรงมาก
นาทีที่ 10.35 ความยิ่งใหญ่ของเมืองที่แม่น้ำโมลดาวไหลผ่าน เมืองนี้เต็มไปด้วยความปลื้มปิติยินดี
นาทีที่ 11.57 แม่น้ำโมลดาวค่อย ๆ หายลับตาไปในที่สุด


โหลด The Moldau

มยุราภิรมย์ (second test)


เพลงมยุราภิรมย์เป็นหนึ่งในชุดเพลงระบำสัตว์ที่ครูมนตรี ตราโมท ได้ประพันธ์ไว้ ประกอบไปด้วยส่วนที่เป็นเพลงช้า(สองชั้น)และเพลงเร็ว(ชั้นเดียว) ทำนองเพลงแสดงอาการของนกยูงที่กำลังรำแพนหาง


ที่มา: http://siriluck.wordpress.com/

วิเคราะห์

  • สองชั้น มีความยาว ๑๒ บรรทัด
  • ชั้นเดียว มี ๒ ท่อน ท่อน ๆ ละ ๒ บรรทัด
  • เป็นเพลงที่มีสำเนียงเขมร คือมีสำนวนที่หวาน มีการวกไปวนมาของทำนอง

สงสัย

  • ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่ว่า ๒ ชั้นนั้น จังหวะหน้าทับเป็นหน้าทับลาวหรือหน้าทับสองไม้กันแน่ และชั้นเดียวเป็นสองไม้หรือปรบไก่

ยังวิเคราะห์ไม่เสร็จนะครับ แต่เอามาลงไว้ก่อน ใครทราบอะไรก็ช่วยกันหน่อยนะ

โหลด

ทำความเข้าใจกับบล๊อก

เราต้องการให้บล๊อกนี้เป็นบล๊อกที่แสดงความคิดเห็นหรือแลกแปลี่ยนความรู้ทางดนตรี
ในภายภาคหน้าผู้จัดทำจะจัดทำลิงค์ไว้ให้สามารถโหลดดนตรีได้ หากผู้ที่เข้ามา ต้องการสิ่งใดสามารถแสดงความคิดเห็นได้ เรายินดีปรับปรุง แก้ไข เพื่อเป็นให้บล๊อกเป็นที่นิยมของท่าน