วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2552

สุนทรียะ - การเข้าถึงบทเพลง ตามแนวคิดของจอห์น ดิวอี้

สุนทรียะ

ปัจจัยที่ทำให้รับรู้ถึงความสุนทรีย์ของจอห์น ดิวอี้ ประกอบไปด้วย ประสบการณ์ ภูมิรู้ และสิ่งแวดล้อม
ผู้เขียนได้แบ่งปัจจัยที่ทำให้รับรู้ถึงความสุนทรีย์ โดยได้แบ่งจากที่มาของปัจจัยออกเป็น 2 หัวข้อใหญ่ ๆ คือ จากงานของศาสตร์นั้น ๆ และจากการดำเนินชีวิต

จากงานของศาสตร์นั้น ๆ

1. ประสบการณ์ ในการสัมผัสกับงานที่แสดงถึงความสุนทรีย์
ประสบการณ์ที่ได้จากการฟังดนตรี สามารถแยกได้เป็น 2 กระบวนการ คือ กระบวนการเชิงปริมาณ และการบวนการเชิงคุณภาพ

1.1 กระบวนการเชิงปริมาณ
เป็นสิ่งที่ได้จากการฟังเพลงในเชิงปริมาณ ได้แก่ การฟังเพลงเพื่อสังเกตลักษณะต่าง ๆ ของเพลง เช่น ต้องการรู้เรื่องรูปแบบของเพลง การประสานเสียง การใช้ความดังค่อย การใช้สีสันของเครื่องดนตรี เป็นต้น การฟังเพลงในลักษณะนี้ผู้ฟังมิได้ใช้ความรู้สึกเป็นพื้นฐาน เป็นการฟังที่ต้องการเอาข้อมูลจากบทเพลงเพื่อศึกษาหรือประเมินบทเพลงนั้น ๆ และสามารถอธิบายได้อย่างเป็นรูปธรรม การฟังในลักษณะนี้ผู้เขียนเรียกว่า “การฟังในเชิงประจักษ์”

1.2 กระบวนการเชิงคุณภาพ
ประสบการณ์ที่ได้จากการฟังเชิงคุณภาพ ได้แก่ การที่ผู้ฟังมีความตั้งใจที่จะฟังเพลงนั้น ด้วยความรู้สึก การฟังลักษณะนี้เป็นการฟังที่ผู้นั้นรับดนตรีเข้าไปในความรู้สึกแล้วตอบสนองตามเสียงดนตรีทีได้ยินในขณะนั้น ซึ่งผู้ฟังจะรับรู้ได้ถึงความงดงามของดนตรี ทำให้เกิดความรู้สึกถึงสุนทรียรสในดนตรีขึ้น ประสบการณ์รับรู้เช่นนี้เรียกว่า สุนทรียประสบการณ์ การฟังในลักษณะนี้ผู้เขียนเรียกว่า “การฟังในเชิงสุนทรีย์”

2. ภูมิรู้ (ความรู้) ในศาสตร์ที่แสดงความสุนทรีย์ออกมา เช่น ซาบซึ้งในดนตรีต้องมีความรู้ด้านดนตรี ซาบซึ้งในงานศิลปะต้องมีความรู้ด้านงานศิลปะ เป็นต้น
การที่ผู้ฟังมีอารมณ์ไปตามบทเพลงนั้นอาจจะมีการรับรู้และความเข้าใจที่ยังไม่ถึงสุนทรียรสของดนตรีก็ได้ เพราะยังขาดพื้นฐานความเข้าใจในโครงสร้างของรูปแบบ และเนื้อหาของดนตรี ซึ่งต่างจากความซาบซึ้งที่เกิดขึ้นได้โดยผู้นั้นสามารถสัมผัสกับสุนทรียรสของดนตรีได้แล้ว
การมีความรู้ทางด้านดนตรีอย่างถูกต้องจะทำให้เราเข้าใจในลักษณะเฉพาะของดนตรี รู้ในหน้าที่ ท่วงทำของ เอกลักษณ์ในส่วนต่าง ๆ ของดนตรีว่า ส่วนไหนบ่งบอกถึงอะไร จึงทำให้เข้าถึงสุนทรียรสของดนตรีได้มากว่าผู้ที่ไม่มีความรู้ทางด้านดนตรี
การฟังเพลงในเชิงปริมาณ จะได้ความรู้ในระดับหนึ่ง แต่จะไม่ได้ถึงแก่นแท้กับผู้ที่ศึกษาดนตรีอย่างจริงจัง

จากการดำเนินชีวิต

3. สิ่งแวดล้อม การที่เราจะรับรู้ในงานนั้นได้ เราจะต้องถูกปลูกฝัง เติบโตมากับสิ่งนั้น เกิดความผูกพัน และประสบการณ์จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แล้วมีความเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่แสดงถึงความสุนทรีย์ จนทำให้เกิดจินตนาการดื่มด่ำกับรสของงานได้ดั่งสัมผัสกับของจริง เช่นการจิตนาการถึงลำธารเมื่อได้ฟังการบรรเลงในลักษณะเสียงน้ำไหล การจินตนาการถึงเสียงสัตว์ป่าที่กรูกันวิ่งเมื่อเครื่องดนตรีเล่นอย่างอึกทึกคึกโครม ฟังดนตรีแล้วเศร้าเพราะนึกเหตุการณ์ที่น่าเศร้าในอดีตแต่ก็ยังอยากฟัง ก็ยังเป็นความสุนทรีย์ เรียกว่า บันเทิงในความเศร้า
เพลงที่มีเนื้อร้องจะบรรยายถึงสิ่งต่าง ๆ ไปตามเพลงจะทำให้สามารถผู้ฟังรับรู้ในสิ่งต่าง ๆได้อย่างง่าย แต่หากไม่ใช่เพลงที่มีเนื้อร้องแล้ว สิ่งที่จะช่วยให้นึกถึงภาพต่าง ๆ ประกอบกับดนตรีก็คือ ชื่อเพลง หรือคำอธิบายของผู้ประพันธ์

สรุป

ประสบการณ์ ภูมิรู้ และสิ่งแวดล้อม จะทำให้เกิดความเข้าใจในศาสตร์ที่แสดงความสุนทรีย์ สิ่งที่ตามมาก็คือ การรับรู้ถึงความสุนทรีย์


ตัวอย่างการรับรู้ทางสุนทรีย์ของผู้เขียน

เงื่อนไขตามปัจจัย


1. ประสบการณ์


1.1 กระบวนการเชิงปริมาณ ชอบฟังดนตรีคลาสสิก ฟังเพลงก่อนนอนเป็นประจำ ฟังแล้ว
มักจะชอบแยกเสียงดนตรีต่าง ๆ แล้วจับประเด็นแต่ละเสียง


1.2 กระบวนการเชิงคุณภาพ N/A (อยู่ในช่วงเวลาที่ฟังเพลง)

2. ภูมิรู้ (ความรู้) เรียนวิชาที่เกี่ยวกับดนตรีสากล 5 วิชา

วิชาประวัติและทฤษฎีดนตรีสากล
วิชาความซาบซึ้งในดนตรี
วิชาดนตรีสากลวิจักข์
วิชาทฤษฎีดนตรีสากล
วิชาคีย์บอร์ดพื้นฐาน
เคยเป็นสมาชิกวงโยธวาทิต

3. สิ่งแวดล้อม อาศัยอยู่ที่อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ บ้านห่างจากส่วนราชการ (ตลาด) หนึ่ง กิโลเมตร มีแม่น้ำป่าสักไหลผ่านตัวอำเภอ ถัดจากบ้านไปอีกข้าง หนึ่งกิโลเมตร มีชลประทานคู่ขนานกับไม่น้ำป่าสัก เกษตรกรได้อาศัยแหล่งน้ำจากชลประทานทำการเกษตร จังหวัดเพชรบูรณ์รายล้อมไปด้วยเทือกเขาซึ่งเปรียบเสมือนกำแพงที่กั้นเขตแดนของจังหวัด

เพลง The Moldau (แม่น้ำโมลดาว) By Smetana


คำบรรยายประกอบเพลง


ลำธารน้อยสองสายไหลผ่านแนวผืนป่าในดินแดนโบโฮเมีย สายหนึ่งมีน้ำที่อบอุ่นไหลเชี่ยว อีกสายหนึ่งมีน้ำเย็นและไหลเอื่อย ๆ ลำธารทั้งสองสายไหลมาบรรจบกัน ท่ามกลางแสงตะวันอันเจิดจ้าของยามเช้า ในที่สุดท้ายนี้น้ำได้กลายมาเป็นแม่น้ำโมดาว ความแรงของกระแสน้ำเพิ่มขึ้นเมื่อไหลผ่านช่องเขาดินแดนโบฮิเมีย กลายเป็นแม่น้ำที่เต็มไปด้วยกระแสแห่งพลัง เมื่อแม่น้ำไหลผ่านป่ารกชัฏ เสียงเป่าแตรจากการล่าสัตว์ได้ยินใกล้เข้ามาทุกขณะ โมลดาวไหลผ่านทุ้งหญ้าสีเขียวมรกตอันงดงาม มุ่งสู่ที่ราบสูงอันอบอุ่น ณ ที่นี้เสียงแห่งความสนุกสนานของเหล่าชาวบ้านในการเฉลิมฉลองงานวิวาห์ ทั้งเสียงร้องเพลง และการเต้นรำดังอยู่ได้มิขาด
ในค่ำคืนนั้นเองแสงระยิบระยับจากผิวน้ำ ดูลึกลับ แต่ไม่ช้าเหล่าภูตน้ำออกมาสนุกสนานกัน สานน้ำไหลผ่านผืนป่าเต็มไปด้วยเสน่ห์ สะท้อนถึงภาพเหล่าปราสาทและป้อมปราการ อันเป็นโบราณสถานที่เหลือให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองในยุคอัศวิน ซึ่งสิ้นสุดลงแล้วโดยสิ้นเชิง ณ แก่ง St. John โมลดาวเพิ่มความรุนแรงและเร็วขึ้นเป็นลำดับ กระแทกโขดหินปรากฏเป็นฟองคลื่น และในที่สุดก็ไหลมายังบริเวณอันกว้างใหญ่ ทำให้กระแสน้ำไหลอย่างสงบผ่านกรุงปราก โดยมีปราสาท Vysehrad ตั้งตระหง่านราวกับผู้กล่าวต้อนรับเชื้อเชิญโมลดาว แม่น้ำโมลดาวไหลผ่านกรุงปรากและลับตาไปในที่สุด มุ่งสู่แม่น้ำเอลเบ (ณรุทธ์ สุทธจิตต์, 2546: ?)

จินตนาการที่เกิดจากความสุนทรีย์ในการฟังเพลง


นาทีที่ 00.00 ลำธารเล็ก ๆ น้ำไหลรินเอื่อย ๆ
นาทีที่ 01.06 ลำธารสองสายไหลมาบรรจบกันกลายเป็นแม่น้ำโมลดาว
นาทีที่ 03.03 การเป่าแตรล่าสัตว์ของนายพราน
นาทีที่ 04.05 งานรื่นเริงแบบชาวบ้าน (สไตล์บ้านนอก)
นาทีที่ 05.30 ค่ำคืนที่เงียบสงบ มีภูตน้ำออกมาเล่นน้ำกัน (คล้าย ๆ กินรี) เสียง Harp แทนอาการกวักน้ำเล่นของภูตน้ำ
นาทีที่ 08.07 กลับมาสู่แม่น้ำโมลดาว ๆ ค่อย ๆ ไหลแรงขึ้น
นาทีที่ 09.13 จนมาถึงแก่ง ๆ หนึ่ง กระเสน้ำเชี่ยวกราก มีความรุนแรงมาก
นาทีที่ 10.35 ความยิ่งใหญ่ของเมืองที่แม่น้ำโมลดาวไหลผ่าน เมืองนี้เต็มไปด้วยความปลื้มปิติยินดี
นาทีที่ 11.57 แม่น้ำโมลดาวค่อย ๆ หายลับตาไปในที่สุด


โหลด The Moldau

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ3 พฤษภาคม 2552 เวลา 10:32

    ประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อมคงจะทำหน้าที่กำหนดทิศทางและแนวทางการสร้างสรรค์ของศิลปิน ส่วนภูมิรู้จะกำหนดถึงระดับความซับซ้อน และการถ่ายทอดศิลปะออกมาให้เกิดความซาบซึ้งแก่ผู้ฟัง...
    งั้นก็หมายความว่าศิลปินที่ได้รับประสบการณ์และอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิมๆ ก็จะมีแนวทางการสร้างสรรค์แบบเดิมๆไม่แตกต่างหรือแหวกแนวมากนัก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภูมิรู้ของแต่ละคนด้วย แต่ส่วนใหญ่ก็คงจะเหมือนๆกัน เช่นนักดนตรีตะวันตกมีแนวทางการแต่งเพลงโดยใช้ระบบคอร์ด ก็ใช้ต่อๆกันมา ไม่ได้ใช้การแปรทางเหมือนของไทย เมื่อสองวัฒนธรรมนี้ไม่เคยมาพบกัน ก็จะไม่เกิดการแลกเปลี่ยนกัน การพัฒนาจะเกิดขึ้นจากเฉพาะการสร้างภูมิรู้มากๆ เช่น การพัฒนาลูทมาเป็นเปียโน

    อย่างนั้น เข้าใจถูกหรือเปล่า

    ตอบลบ